การเทียบโอนผลการเรียน

ระเบียบโรงเรียนบ้านคกมาด 

ว่าด้วยการเทียบโอนผลการเรียน  พ.ศ. 2558

 

     อาศัยอำนาจตามความในข้อ  6  แห่งระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการเทียบโอนผลการศึกษาขั้นพื้นฐานและการศึกษาระดับอุดมศึกษา  ระดับต่ำกว่าปริญญาตรี  พ.ศ. 2545  ให้สถานศึกษามีหน้าที่ในการเทียบโอนผลการเรียนตามระดับประเภทวิชาหรือสาขาวิชาที่สถานศึกษาจัดการเรียนการสอนเพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนตามหลักสูตรของสถานศึกษา   จึงออกระเบียบไว้ดังนี้

     ข้อ  1.  ระเบียบนี้เรียกว่า  “ระเบียบโรงเรียนบ้านคกมาด  ว่าด้วยการเทียบโอนผลการเรียน  พ.ศ. 2549”

     ข้อ  2.  ระเบียบนี้ให้ใช้ตั้งแต่ปีการศึกษา  2549  เป็นต้นไป

     ข้อ  3.  ในระเบียบนี้

            “สถานศึกษา”  หมายถึง  สถานศึกษาที่จัดการศึกษาขั้นพื้นฐานตามมาตรา  16  (2)  ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ  พ.ศ. 2542

            “การเทียบโอน”  หมายถึง  การนำผลการเรียนซึ่งเป็นความรู้  ทักษะและประสบการณ์ของผู้เรียนที่เกิดจากการศึกษาในระบบ  การศึกษานอกระบบ  การศึกษาตามอัธยาศัยมาประเมินเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรใดหลักสูตรหนึ่ง

     ข้อ  4.  ผู้ขอเทียบโอนต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้

1.       ต้องขึ้นทะเบียนเป็นนักเรียนหรือนักศึกษาโรงเรียนใดโรงเรียนหนึ่ง

2.       มีความรู้  ทักษะ  และประสบการณ์ครบตามมาตรฐานของมาตรฐานหมวดวิชาหรือกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่มาขอเทียบโอนผลการเรียน

            “อนุกรรมการ”  หมายความว่า  อนุกรรมการในคณะอนุกรรมการ

     ข้อ  5.  ให้สถานศึกษาแต่ตั้งคณะกรรมการเทียบโอนผลการเรียนจำนวนไม่น้อยกว่า  3  คน  และไม่เกิน  5  คน  โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการบริหารหลักสูตรและวิชาการสถานศึกษาทำหน้าที่เทียบโอนการเรียนให้กับผู้ขอเทียบโอนผลการเรียน  คณะกรรมการเทียบโอนผลการเรียนต้องมีคุณสมบัติสอดคล้องกับระดับการศึกษาหรือสาขาวิชาที่จะทำการเทียบโอน

     ข้อ  6.  ให้คณะกรรมการเทียบโอนผลการเรียน  มีหน้าที่ดังนี้

1.       จัดทำสาระ  เครื่องมือ  และวิธีเทียบโอนผลการเรียนของรายวิชาและกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างๆ 

2.       ดำเนินการเทียบโอนผลการเรียนให้กับผู้เรียนที่ร้องขอ

3.       ประเมินผลและตัดสินผลการเทียบโอน

4.       เสนอผลการเทียบโอนต่อคณะกรรมการบริหารหลักสูตรของสถานศึกษาให้ความเห็นชอบและเสนอผู้บริหารสถานศึกษาตัดสินการอนุมัติการเทียบโอน

     ข้อ  7.  การเทียบโอนให้ดำเนินการดังนี้

1.       ผู้ขอเทียบโอนต้องขึ้นทะเบียนเป็นนักเรียนหรือนักศึกษาของสถานศึกษาใด  สถานศึกษาหนึ่งโดยสถานศึกษาดังกล่าวดำเนินการเทียบโอนผลการเรียนในภาคเรียนแรกที่ขึ้นทะเบียนเป็นนักเรียนหรือนักศึกษา  ยกเว้นกรณีมีเหตุผลจำเป็น

2.       จำนวนหมวดวิชา  รายวิชาจำนวนหน่วยการเรียนที่จะรับเทียบโอนและผลการเรียนที่จะนำมาเทียบโอนต้องมีอายุไม่เกิน  1  ปี  นับถึงวันยื่นความจำนง  ทั้งนี้เมื่อเทียบโอนแล้วผู้ขอเทียบโอนต้องมีเวลาเรียนอยู่ในสถานศึกษาที่รับเทียบโอนไม่น้อยกว่า  1  ภาคเรียน

3.       ในกรณีมีเหตุผลความจำเป็นระหว่างเรียนผู้เรียนสามารถแจ้งความจำนงขอไปศึกษาบางรายวิชาในสถานศึกษาอื่นแล้วนำผลมาเทียบโอนได้  คณะกรรมการบริหารหลักสูตรและวิชาการของสถานศึกษา

4.       กรณีผู้ขอเทียบโอนมีผลการเรียนมาจากหลักสูตรต่างๆ  ให้นำหมวดวิชา  รายวิชาที่มีจุดประสงค์และเนื้อหาสอดคล้องกันไม่น้อยกว่าร้อยละ  60  มาเทียบโอนผลการเรียนได้และพิจารณาให้ระดับผลการเรียนให้สอดคล้องกับหลักสูตรที่รับเทียบโอน

5.       กรณีการเทียบโอนความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ ให้พิจารณาจากเอกสารหลักฐาน (ถ้ามี)  โดยให้มีการประเมินด้วยเครื่องมือที่หลากหลาย  และให้ระดับผลการเรียนตามเกณฑ์การประเมินผลการเรียนของหลักสูตรที่รับการเทียบโอน

     ข้อ  8.  ให้หัวหน้าสถานศึกษาเป็นผู้อนุมัติการเทียบโอนผลการเรียน

     ข้อ  9.  ให้หัวหน้าสถานศึกษารักษาการณ์ให้เป็นไปตามระเบียบนี้  และให้มีอำนาจตีความและวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับปฏิบัติตามระเบียบนี้

 

การลงโทษนักเรียน

            การลงโทษมีจุดประสงค์หลักเพื่อให้หลาบจำ และไม่ทำพฤติกรรมเช่นนั้นอีก โดยต้องการให้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางที่ถูกต้องดีงามตามที่สังคม กำหนด แนวคิดของจุดประสงค์ของการลงโทษยังคงเป็นอยู่ถึงแม้ว่าจะมีวิธีการที่ เปลี่ยนไป แต่จุดประสงค์หลักยังไม่เปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเป็นการลงโทษกับประชาชนทั่วไป หรือการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา

วิทยาการด้านการพิจารณาลงโทษได้ พัฒนาไปมาก มีการศึกษาวิจัยถึงระดับปริญญาเอก โดยสาระสำคัญต้องการให้การลงโทษเกิดประโยชน์กับสังคม และปัจเจกบุคคลมากที่สุด จะเห็นได้ว่ามีการปรับเปลี่ยนวิธีการลงโทษจากวิธีที่ใช้การทำร้ายร่างกายและ จิตใจ มาสู่การแก้ไขพฤติกรรม และการจำกัด หรือกักขัง ไม่ให้สร้างความเดือดร้อนให้กับสังคมหรือผู้อื่น

        แนวคิดว่าการลงโทษเป็นความจำเป็นในการสร้างคนให้มีคุณภาพ ถึงกับมีคำกล่าวว่า “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” และเมื่อเอ่ยถึงคำว่า “ไม้เรียว” เชื่อว่าใครหลาย ๆ คนที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานระดับสูง หรือ เป็นเพียงพนักงานธรรมดา ๆ ที่เคยผ่านการอบรมบ่มเพาะจากโรงเรียน หรือสถาบันการศึกษามาอย่างเข้มข้นคงได้เคยสัมผัสและรู้จักรสชาติของไม้เรียว เป็นอย่างดีถ้ามองย้อนกลับไปถึงนัยของการทำโทษนักเรียน นักศึกษาในอดีตดูเหมือนจะถูกทำโทษด้วยไม้เรียวกันเป็นประจำจนเป็นเรื่องปกติ และเมื่อมีงานเลี้ยงรุ่นของบรรดาศิษย์เก่าของโรงเรียนต่าง ๆ ที่มารวมตัวกันต่างนำเรื่องการโดนไม้เรียว หรือการทำโทษต่าง ๆ เช่น เดินเป็ด ขนมจีบ สองเกลียวบิดพุง คาบไม้บรรทัด ขว้างด้วยแปลงลบกระดาน วิ่งรอบสนาม ล้างส้วม ทำงานหนักอื่น ๆ และที่หนักมากที่สุดคือ การเฆี่ยนตีหน้าเสาธง หรือหน้าชั้นเรียน เรื่องการลงโทษและถูกทำโทษด้วยวิธีแปลก ๆ นี้เมื่อเวลาผ่านไป ได้ถูกนำมาพูดกันอย่างสนุกสนาน ยิ่งถ้าครูคนไหนดุ หรือทำโทษบ่อยมาก ๆ ก็จะเป็นที่จดจำของบรรดาลูกศิษย์ ซึ่งอาจเป็นทั้งที่รักและที่เกลียดชังด้วยก็มี การทำโทษด้วยการใช้ไม้เรียว เฆี่ยน ตี หรือ การทำโทษด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่เกิดเป็นความบอบช้ำไม่เฉพาะด้านร่างกายเท่านั้นยังส่งผลต่อจิตใจของผู้ เรียน และผู้ปกครองอีกด้านหนึ่งด้วยจึงมีคำถามตามมาว่าครูควรจะ ลงโทษแบบไหน ถึงจะเรียกว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสม คำตอบที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดก็คือ ครูควรมีจิตสำนึกของความเป็นครูอันเป็นพื้นฐานที่แข็งแรง เพราะหากมีการทำโทษด้วยจิตสำนึกดังกล่าวถึงแม้ว่าจะออกมาในรูปแบบของการ เฆี่ยนตี แต่ก็ด้วยความมุ่งหมายที่ต้องการให้ผู้เรียนหลาบจำ ไม่ต้องการให้มีพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของสังคมอีก ปัจจุบันด้วยจิตสำนึกของครู (บางคน) ขาดหายไปจึงเกิดกรณีเป็นข่าวในเรื่อง การทำโทษนักเรียนหรือ นักศึกษาเกินกว่าเหตุ และเมื่อพิจารณาแล้วการทำโทษในบางครั้งแทบจะไม่มีเยื่อใยความผูกพันระหว่าง ความเป็นครูกับศิษย์ ให้เห็นเลย

ระเบียบการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา

       ระเบียบ กระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา พ.ศ. 2548 ได้กำหนดวิธีการลงโทษไว้ซึ่งจะนำมากล่าวถึงในประเด็นที่เป็นสาระสำคัญดังนี้ข้อ 4. ...“การลงโทษ” หมายความว่า การลงโทษนักเรียนหรือนักศึกษาที่กระทำความผิด โดยมีความมุ่งหมายเพื่อการอบรมสั่งสอน

 

     ข้อ 5 โทษที่จะลงโทษแก่นักเรียนหรือนักศึกษาที่กระทำความผิด มี4 สถาน ดังนี้

            1.ว่ากล่าวตักเตือน

            2.ทำทัณฑ์บน

            3.ตัดคะแนนความประพฤติ

            4.ทำกิจกรรมเพื่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

 

 

     ข้อ 6 ห้ามลงโทษนักเรียนและนักศึกษาด้วยวิธีรุนแรง หรือแบบกลั่นแกล้ง หรือลงโทษด้วยความโกรธ หรือด้วยความพยาบาท โดยให้คำนึงถึงอายุของนักเรียนหรือนักศึกษา และความร้ายแรงของพฤติการณ์ประกอบการลงโทษด้วย การลงโทษนักเรียนหรือนักศึกษาให้เป็นไปเพื่อเจตนาที่จะแก้นิสัยและความ ประพฤติไม่ดีของนักเรียนหรือนักศึกษาให้รู้สำนึกในความผิด และกลับมาประพฤติตนในทางที่ดีต่อไปให้ผู้บริหารโรงเรียนหรือสถานศึกษา หรือผู้ที่ผู้บริหารโรงเรียนหรือสถานศึกษามอบหมายเป็นผู้มีอำนาจในการลงโทษ นักเรียน นักศึกษา

     ข้อ 7. การว่ากล่าวตักเตือน ในกรณีนักเรียนหรือนักศึกษากระทำความผิดไม่ร้ายแรง

     ข้อ 8. การทำทัณฑ์บนใช้ในกรณีนักเรียนหรือนักศึกษาที่ประพฤติตนไม่เหมาะสมกับสภาพ นักเรียนหรือนักศึกษา ตามกฎกระทรวงว่าด้วยความประพฤตินักเรียนและนักศึกษา หรือกรณีทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงและเกียรติศักดิ์ของสถานศึกษา หรือฝ่าฝืนระเบียบของสถานศึกษา หรือได้รับโทษว่ากล่าวตักเตือนแล้ว แต่ยังไม่เข็ดหลาบ การทำทัณฑ์บนให้ทำเป็นหนังสือ และเชิญบิดามารดาหรือผู้ปกครองมาบันทึกรับทราบความผิดและรับรองการทำทัณฑ์บน ไว้ด้วย

     ข้อ  9. การตัดคะแนนความประพฤติ ให้เป็นไปตามระเบียบปฏิบัติว่าด้วยการตัดคะแนนความประพฤตินักเรียนและ นักศึกษาของแต่ละสถานศึกษากำหนด และให้ทำบันทึกข้อมูลไว้เป็นหลักฐาน

     ข้อ 10. ทำกิจกรรมเพื่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ใช้ในกรณีที่นักเรียนและนักศึกษากระทำความผิดที่สมควรต้องปรับเปลี่ยน พฤติกรรม การจัดกิจกรรมให้เป็นไปตามแนวทางที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดซึ่ง ก่อนหน้าปี 2542 กระทรวงศึกษาธิการมีระเบียบลงโทษนักเรียน ที่อนุญาตให้ครูใช้ไม้เรียวตีนักเรียนได้ หลังจากปี 2542 มีระเบียบลงโทษนักเรียน ห้ามลงโทษนักเรียนโดยการตี และล่าสุดจากระเบียบข้างต้นโดยปรับปรุงระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วย เรื่องการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา ประกาศ ณ วันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2548 กำหนดบทลงโทษไว้อย่างชัดเจน คือ ว่ากล่าวตักเตือน ทำทัณฑ์บน ตัดคะแนนความประพฤติ และทำกิจกรรมเพื่อปรับพฤติกรรมเท่านั้น นั่นหมายความว่าครูไม่ควรลงโทษนักเรียนและนักศึกษา ด้วยวิธีการอื่นๆ นอกเหนือจาก 4 มาตรการนี้

การลงโทษนักเรียนในอุดมคติ

       การ ลงโทษควรเป็นวิธีการสุดท้ายสำหรับครู/อาจารย์ที่จะพึงกระทำต่อผู้เรียน และการทำโทษต้องอยู่บนเจตนาของความต้องการแก้ไขพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เท่านั้น การทำการบ้านผิด ตอบคำถามผิด หรือมีการเรียนที่ล่าช้า ไม่สมควรได้รับการลงโทษด้วยความรุนแรง ในอดีตการทำการบ้านผิด ตอบคำถามผิด หรือการเรียนที่ล่าช้า จะถูกทำโทษจากครู/อาจารย์ อย่างรุนแรงด้วยการเฆี่ยน ตี หรือทำร้ายร่างกายด้วยวิธีการต่าง ๆ การลงโทษที่เหมาะสมในยุคปัจจุบันจึงควรละเว้นการทำร้ายร่างการและจิตใจด้วย วิธีการต่าง ๆ อย่างสิ้นเชิง ความผิดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอันเป็นผลจากกระบวนการเรียนการสอนนั้น ต้องได้รับการแก้ไขด้วยกระบวนการเรียนการสอนและการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ที่เหมาะสม ถ้านักเรียนหรือนักศึกษาทำความผิดที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนและ สมควรต้องได้รับการลงโทษ ครู/อาจารย์ควรหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบในการแก้ไขพฤติกรรมด้วยการทำร้าย ร่างกายหรือจิตใจ ด้วยประการทั้งปวง เช่น การลงโทษด้วยการเฆี่ยน ตี หรือด่าว่าด้วยถ้อยคำที่กระทบความรู้สึกอย่างรุนแรงครู/อาจารย์ควรให้ผู้ที่ มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงดำเนินการจะดีกว่า เช่น พ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจากหน่วยงานที่รับผิดชอบในการแก้ไขความประพฤติของ เยาวชน หรือคนในสังคม ซึ่งเจ้าหน้าที่เหล่านั้นเป็นผู้มีความรู้ความเข้าใจ และมีความชำนาญในกระบวนการและวิธีการลงโทษตามลักษณะของพฤติกรรมที่ควรได้รับ การลงโทษ เพราะครู/อาจารย์ไม่ได้รับการฝึกอบรมหรือได้รับการสั่งสอน มาให้เป็นผู้พิจารณาโทษและลงโทษผู้เรียนอย่างเป็นระบบ การตัดสินลงโทษของครูจึงมีความผิดพลาดได้ง่าย เพราะครูมักจะใช้อารมณ์ และความรู้สึกของตนเองตัดสินเป็นสำคัญ ยิ่งถ้าครูเป็นผู้เกี่ยวข้องและมีส่วนกับการการทำผิดของผู้เรียนด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ความเป็นธรรมและความชอบธรรมลดลงมาก ครูควรหมดหน้าที่ลงโทษผู้เรียนด้วยการทำร้ายร่างกายและจิตใจอีกต่อไป